Hello world!

Welcome to WordPress.com. This is your first post. Edit or delete it and start blogging!

Posted in Uncategorized | 1 Comment

สักวาว่าบ้าง อะไรบ้าง

เกือบสองเดือนแล้วที่ห่างหายไปจากพื้นที่แห่งนี้ ก้อไม่ได้มีสาเหตุปัจจัยอะไรมากนักหนาหรอก คิดว่าคงมีใกล้เคียงคุณๆ ท่านๆ หลายๆคนหละนะ ขี้เกียจหนึ่ง ไม่รู้จะเขียนอะไรอีกหนึ่ง และสเปชมันจะเปลี่ยนแปลงทำไมหละนี่ ก็ว่ากันไป
 
มาขยายความหน่อยไอ้เรื่องว่าด้วยความขี้เกียจนี่มันฝังอยู่ตื้นๆ ตามชั้นผิวหนังกำพร้านี่หละ เลยไม่ค่อยได้เข้ามาดูเท่าไร อาศัยอยู่แต่ในเฟสบุ๊ค ไว้ค่อยเกริ่นเรื่องเบื่อๆ สุขๆ ทุกข์ พอเป็นกษัย และก็พอการดำรงชีวิต วิถีแห่งอาชีวะได้เปลี่ยนไป ทักษะการมองอะไรให้ลึกซึ้ง ได้นั่งนิ่งๆ เพื่อเขียนมันก้อดูจะลดลงเอาการ
 
ส่วนสุดท้าย สเปชมันจะเปลี่ยนอะไรกันหนักหนา ก็บ่นกันไปแต่ทุกอย่างมันก็ต้องเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง เอาเป็นว่ามีของฟรีใช้ก็ดีแล้ว บ่นกันไป สเปชมันก็คงไม่ฟังและยอมกลับมาเป็นแบบเดิม หรือเชื่อสิพอใช้ไปนานๆแล้วสเปชมันเปลี่ยนไปเป็นแบบเดิม ก็อาจจะมีคนลืมแล้วเผลอบ่นว่า "มรึงจะเปลี่ยนไปใช้รูปแบบใหม่ทำไม" ฮ่าๆๆๆ
 
ก็ว่ากันไป วันนี้ฤกษ์งามยามดีใกล้วันแม่อีกปี เลยมาเขียนซะหน่อย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวันแม่หรอก มาเขียนกันสเปช มัน "ดีรีส" ออกจากการเป็นสมาชิกซะหน่อย เดี๋ยวหายไปนานจะมีคนเข้าม ยึดปักหมุดกันเขตแดน จนเกิดปัญหาภายหลัง เหมือนไทย-เขมร ทุกวันนี้ นี่หละที่โบราณว่าไว้
 
รักกันอยู่ขอบฟ้า          เขาเขียว
เสมออยู่หอแห่งเดียว    ร่วมห้อง
ชังกันบ่แลเหลียว         ตาต่อ กันนา
เหมือนขอบฟ้ามาป้อง   ป่าไม้มาบัง
 
เอาหละเราอย่าไปวนกะเรื่องทางการเมืองกันมากมายดีกว่า ปล่อยผู้ใหญ่ท่านทำมาหารับประทานกันไป จะว่าไปไอ้เรื่องนี้ก็อีก ที่ดูเหมือนจะรบกวนหัวใจให้พอคันๆ เล่น เมื่อไม่กี่วันก่อนได้รับรู้เกี่ยวกันการฉ้อราษฏร์บังหลวงที่น่ารังเกียจพอสมควร กับพฤติกรรมที่สุดบรรยายของคนที่โตเป็นผู้ใหญ่ ตำแหน่งก็ไม่น้อย พอไว้ให้โกงกินจนทุกวันค่าใช้จ่ายส่วนตัวก้อแทบจะไม่มี แต่งบประมาณการทำงานของหลวงนี่บานปลายแปลกๆ ไอ้ครั้นเราจะไปยุ่งก็ดูเก้ๆกังๆ ก็ในอดีตผู้ใหญ่ในบ้านนี้เมืองนี้สอนไว้ว่า "ไม่ใช่เรื่องของเรา อย่าไปยุ่ง" มันเลยเริ่มจำแนกไม่ได้กันแล้วสิที่นี้ ว่า เรื่องไหนจะควรยุ่ง เรื่องไหนไม่ควรยุ่ง พออีลุงตุงนังเข้าไม่ใช่เรื่องของเราอย่าไปเจือกดีกว่า เดี๋ยวเสี้ยนอันโตจะงอกออกมาจากเท้าโดยไม่รู้ตัว เก็บไว้ให้คนเหล่านั้นแพ้ภัยตัวเองไปเถอะ แต่จะเก็บไว้เป็นบทเรียนสอนใจ ไม่สวย ไม่เริ่ด ก็ทำได้เรื่องเเนอะ แบบนี้
 
เพื่อนๆในสเปชก็บ้างก็ห่างกันไป บ้างก็ใกล้กันขึ้น บ้างคุยกันบ้างตามเวลาเอื้ออำนวย บ้างก็เอื้ออำนวยเวลามาคุยกัน ปกติวิสัยของสัตว์โลกที่ต้องหมุนเวียนกันอยู่ในวัฏสงสาร วันก่อนได้หนังสือมาเล่ม เขียนโดยจิตแพทย์ท่านหนึ่ง อ่านไปอ่านมา เริ่มกังวลว่าจะเข้าขั้นโรคจิตกับเค้าไปอีกคน ฮา… แต่อ่านแบบจิตใจไม่คับแคบ คนเรานี่มันก็เป็นโรคจิตกันทุกคนหละ ไม่ใช่โรคที่น่ารังเกียจนะ แต่คิดว่ามันเป็นชื่อสั้นของ "โรคจิตไม่สมดุลย์" มากกว่า (อันนี้คิดเอง) ถ้าตามหลักพุทธศาสนา ธรรมะ นี่หละที่ช่วยสร้างสมดุลย์ให้จิตใจมนุษย์ เพราะอ่านไปอ่านมาทั้งเล่ม สรุปรวมว่า วิธีและการอธิบายของจิตแพทย์ก็คือธรรมะของชาวพุทธเรานี่เอง เพียงแต่เคสที่เค้ายกมาทำให้เห็นภาพมากขึ้น
 
แหม…ไอ้บทจะมานี่ก็ยาวกันไปซะ พอดีกว่ามากไปเดี๋ยวจะโอเว่อร์โด๊สกันซะเปล่าๆ พรุ่งนี้ก็เป็นวันแม่แห่งชาติ แม่ใครก็ดูแลกันตามสมควร ปีนี้ก็ได้ดูแลทั้ง แม่ และ แม่ของแม่ เลยนัดมิตรรักแฟนเพลงตามแต่จะสะดวกมาทำอาหารทานกันซะหน่อย ว่าจะลองทำเบอเกอรี่สูตรใหม่ที่ได้มา ไว้จะเอามาโชว์ถ้าหน้าตามันดี ถ้าไม่ดีก็ทดไว้ในใจคนทำดีกว่า ฮา…….
 
 

เอนทรี่ที่ ๑๑/๒๕๕๓
Posted in Uncategorized | 6 Comments

เรื่องฮาๆ บทสนทนาขำ…สรุปก้าวพ้นทักกี้กันไปหรือยัง (คอมเมนต์จากเว็บผจก.)

ผม: พวกที่เชียร์เสื้อแดง ชอบมีประโยคคลาสิคติดปากว่า"เรื่องนี้มันก้าวพ้นตัวทักษิณไปแล้ว"

เพื่อน: เออ

ผม: กรูคิดแล้วคิดอีก ก็ยังงงอยู่ว่า มันก้าวพ้นยังไง ตรงไหนวะ ที่มันเผาเมืองกัน อยู่นี้ จะบอกว่าไม่เกี่ยวกับทักษิณเลยว่างั้น

เพื่อน: ไม่เกี่ยวแล้ว ไหนเมิงบอกว่า ทักษิณตาย ไม่ก็ป่วยหนัก แล้วเค้าจะมาสั่งการอะไรได้ไงวะ

ผม: โอเคๆ ถ้าก้าวข้ามทักษิณไป แล้ว อะ พวกเค้าก็ล้มเจ้าใช่มั๊ยล่า แต่พอโดนข้อหาล้ม เจ้า พวกเค้าก็ไม่รับอีก

เพื่อน: พวกเค้าจงรักภักดี วันฉัตรมงคลเค้าก็ทำพีธีเฉลิมพระเกียรติกันยกใหญ่

ผม: โอเค พวกเค้าไม่ล้มเจ้า แล้วก็ได้ กรูขอโทษ ที่เข้าใจเมิงผิดไป เอ๊ย เค้าผิดไป

เพื่อน: กวนตีนละ

ผม: โอเค งั้น พวกเค้าก็ไม่เอาอำมาตย์ ไม่เอาเปรม

เพื่อน : ก็ส่วนนึงว่ะ อันนั้นมันเป็นสัญลักษณ์ของระบบอุปถัมภ์ ระบบนี้ ทำให้ไทยไม่เจริญ

ผม: ไม่เจริญตรงไหนวะ ห้างแมร้งโคตรเยอะ สนามบินมีสองที่ หนังดังๆเข้าก่อนอเมริกาอีก

เพื่อน: กรูพูดเรื่องคุณภาพคนโว้ย ไม่ใช่เรื่องวัตถุ

ผม: โอเค แล้วเค้าอยากพัฒนาคน งั้นต้องเรียกร้องเรื่องการศึกษาดิ

เพื่อน : เมิงอย่าไปดูถูกว่าคน พวกนี้ไม่มีการศึกษา พวก คนบ้านนนอกนี้เค้าถกเรื่องการเมืองกันถึงพริกถึงขิงจะตาย

ผม : โอเค พวกเค้าการศึกษาดี อยู่แล้ว แล้วมาทำไมวะ

เพื่อน : ก็กดดันให้มาร์คยุบสภา ไม่งั้นก็ลาออก

ผม : ออกทำไมวะ สภาเค้าทำไรผิดวะ

เพื่อน : สัต ก็มันปล้นตำแหน่ง นายกมา มันปฏิวัติเค้ามา

ผม : ปล้นไงวะ กรูก็เห็นเค้าโดนโหวต มาตามกฎทุกอย่าง

เพื่อน: มันมีผลต่อเนื่องมาจากการปฎิวัติไง

ผม : หลังจากทหารปฎิวัติ สมัครก็เป็นนายก ต่อด้วยสมชาย ก็ลูกน้องแม้วทั้งนั้น

เพื่อน : สมัคร โดนพันธมิตรกดดันศาล เลยโดนเรื่องทำกับ ข้าวออกทีวีไง

ผม: กรูก็ยังไม่เห็นว่ามาร์คจะปล้นอะไรใครมาตรงไหน

เพื่อน : อ่าว ก็มันไม่ได้มาจากการ เลือกตั้ง

ผม: มาร์คนี่เป็นสส.ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเหรอวะ แบบแดร๊กก๋วยเตี๋ยวอยู่ก็เดินดุ่ยๆ เข้าสภามาให้คนโหวตเป็นนายกงั้นเลย

เพื่อน : คนไม่ได้เลือกเค้า เป็นนายกเว้ย

ผม: เหรอๆ แล้วคนเลือกสมชายเป็นนายกหรือไง กรูก็งง

เพื่อน: กรูว่าเมิงไม่งงหรอก แต่เมิงกวนตีน

ผม : ก็มาร์ครวมเสียงข้างมากได้ ก็เป็นนายกได้ ผิดอะไรวะ

เพื่อน : …………….ก็ เนวิน มันเปลี่ยนขั้วไง มันกลัวทหาร

ผม: อ่าว แล้วไม่ไปประท้วงเนวินล่ะสัต

เพื่อน : ประท้วงมาร์คดิวะ มันเป็นนายก

ผม: อย่างนั้นเลย……โอเค ไม่ประท้วงเนวิน ทำไมไม่ประท้วงทหาร ล่ะ

เพื่อน : ก็ประท้วงอยู่ เมิงไม่เห็นเหรอ พวกเสื้อแดงเกลียดทหารจะตาย

ผม : แต่เสิกมี เสธแดง ในม๊อบ

เพื่อน : ก็เค้าไม่ได้โดนรัฐบาลสั่งมาไง เค้าสมัครใจมาช่วย

ผม : โอเค แค่เรื่อง ไม่พอใจที่ตังเองไม่ ได้เป็นรัฐบาล

เพื่อน : เรื่องสองมาตรฐานไง อันนี้ชัด เรื่องที่พันธมิตรทำ ไม่โดน ที่เสื้อแดงทำนี่ คดีเร็วเลย

ผม: แต่แม้วก็ทำเรื่อง สองมาตรฐานเยอะ

เพื่อน : ยังไงวะ

ผม: ก็พี่แกเป็นเจ้าของ ประโยคคลาสสิก หลังเลือกตั้ง "จังหวัดไหนเลือกเรา เราก็จะดูแลก่อน"

เพื่อน : กรูบอกแล้วไง เรื่องนี้มันก้าวข้ามทักษิณไปนานแล้ว

ผม: โอเค กรูผิด

เพื่อน: เรื่องความเท่าเทียม ด้วยโว้ย เค้ามาเรียกร้องความเท่าเทียมในสังคม

ผม : เท่าเทียม?

เพื่อน: ทุกวันนี้ ช่องว่างทางชนชั้นและรายได้มันเยอะ ชาวบ้านเลยเดือดร้อนไง

ผม : คือมเมิงอยากให้คนเก็บขยะ หรือเด็กดมกาวแถวบ้าน มามีเงินเดือนเท่า เมิงว่างั้น ช่องว่างมันจะได้หายไป

เพื่อน : มันไม่ใช่อย่างงั้น คือพวกเค้ารู้สึกว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้ทำอะไรให้เค้า

ผม : กรูก็เพิ่งเห็นเค้า ประกาศประกันราคาข้าวไปนี่หว่า เรียนก็ฟรีสิบสองปี

เพื่อน : ก็มันน้อยมากเว้ย ถ้าเทียบกับสมัยทักษิณ

ผม : อืม สรุปเค้าก็อยากจะได้แม้วกลับมาเป็นนายกนั่นแหละ ชีวิตจะดี

เพื่อน : กรูบอกแล้วไง เรื่องนี้มันก้าวข้ามทักษิณไปนานแล้ว

ผม : อืม…….โอเค งั้นกรูขอก้าวข้ามเมิง ไปซื้อน้ำปลาให้แม่ ก่อน

Posted in Uncategorized | 5 Comments

เคอร์ฟิว…ในรอบ 18 ปีของเมืองไทย

20:00 น. 19 May 2010 และยังคงงต่อเนื่องอีกสามวัน
(ไม่เวลา เดี๋ยวกลับมาเขียน แปะไว้ก่อนกันลืม)
 
26 May 2010 ยังคงเคอร์ฟิวต่อเนื่อง…..
 
29 May 2010 สิ้นสุดการเคอร์ฟิว….
 
Posted in Uncategorized | 7 Comments

ช๊อปปิ้งหนังสือ

….และแล้วก้อเป็นตามคาด….เสื้อแดงต้องการแสดงอำนาจยึดพื้นที่ใจกลางเมือง พ่นพิษจนห้างสรรพสินค้าใหญ่ใจกลางเมืองต้องปิดตัวเนื่องเพราะกลัวความกักขระ…
 
….เช้าวันอาทิตย์ เตรียมตัวไปกราบไหว้บรรพบุรุษในเทศกาลสำคัญตามขนบธรรมเนียมประเพณี เจอะเจอญาติพี่น้อง ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบกัน จนสายก้อแยกย้ายกันไป…
 
….ก่อนเที่ยงวันอาทิตย์ นัดคุณ Strange Loop ไปเที่ยวงานสัปดาห์หนังสือกัน ซุ่มฟิตซ้อมเตรียมความพร้อมของร่างกายกันมาเป็นอย่างดี ก่อนลุยแวะหาอาหารรองท้องกันเสียหน่อย หันซ้ายหันขวาก่อนจะลงเอยกันที่ร้านกัลปพฤกษ์ กลางซอยประมวล โซ้ยอาหารจานเดียวกันอย่างรวดเร็ว วันนี้อากาศร้อนที่เดียว ปวดหัวตุ๊บๆกันเลยเชียว….
 
….เป็นไปตามคาด คนแน่นทีเดียว อาจเพราะไม่มีที่จะไปเพราะ…อ้ายพวกเหวงงงงมันจตุพรกันกลางเมือง…ไม่ได้มีหนังสือเป้าหมายกันเป็นพิเศษ แต่ก้อช๊อปกันไป….จนได้กองขนาดนี้….
 
 
……กิจกรรมแก้เบื่อในวันแดงครองเมือง…..
เอนทรี่ที่ ๑๐/๒๕๕๓
Posted in Uncategorized | 14 Comments

ตระเวนชิม…กินดื่ม ตอนที่ 2

เพื่อไม่ให้เสียอรรถรส เรามาต่อตอนที่สองกันดีกว่า หลังจากมีเสียงพึมพำว่าไม่ค่อยปลื้มอาหารญี่ปุ่นเท่าไร
คราวนี้มานำเสนอร้านที่ผู้นิยมอาหารทะเล โดยเฉพาะหอยนางรม… ต้องบอกว่าราคาค่อนข้างแพง แต่ถ้าสำหรับ
ผู้ที่ชื่นชอบแนวนี้ ร้านนี้ถูกกว่าไปทานในโรงแรมห้าดาวแน่ๆคะ (ปกติอาการแบบนี้จะพบในห้องอาหารของโรงแรมห้าดาว)
 
ร้านนี้ชื่อ "Oyster Bar" ถ้าจำไม่ผิดน่าจะไปทานในเทศกาลขึ้นปีใหม่ ทานของแพงก้อเป็นตามวาระโอกาส นานๆที
ตามแหล่งข่าว (อีกแล้ว) เจ้าของร้านนี้ได้ชื่อว่าเป็น Oyster King ทีเดียว แต่เดิมมีความตั้งใจที่จะนำเข้า Osyter จากต่างประเทศ
เผื่อที่จะส่งตามโรงแรมต่างๆในไทย แต่ไหนๆจะนำเข้าทั้งที เปิดร้านขายไปด้วยดีกว่า….จึงเป็นที่มาของร้านอาหารเล็กๆแห่งนี้
 
บรรยากาศในร้าน

การตกแต่งร้าน แนวเรียบง่าย แต่มีแนว……บนโต๊ะ จะมีขนมปังขาไก่แท่งยาวใส่แก้วไว้ ให้ทานรองท้อง หรือไว้ทานแก้เบื่อระหว่างไม่รู้จะคุยอะไรกัน 5555 และเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง ก้อเลยสั่งไวน์มาดื่มกันหน่อย ทางร้านแนะนำเป็น Sparkling wine ให้ พี่ปูมีแอบบ่นเล็กน้อยว่าไม่เข้ากะอาหาร อิอิ

Sparking wine จัดเป็นไวน์กลุ่มหนึ่ง เป็นไวน์ที่มีฟองแก๊สผุดขึ้นมา แชมเปญ ก้อเป็นหนึ่งในสปาค์กลิ่ง ไวน์ แต่เป็นสปาค์กลิ่ง ไวน์ ที่ผลิตในเมืองแชมเปญของฝรั่งเศส (อันนี้ไม่แน่ใจว่าความรู้ถูกต้องมั้ย ต้องขอคำแนะนำจากผู้รู้ถ้าผิดพลาด) สังเกต เวลาพนักงานริน มือจะจับที่ก้นขวดไว้คอยบิดข้อมือเวลารินเต็มแก้ว ส่วนมือข้างที่ไม่ได้จับขวดก้อจะนำไปไพล่หลังเนื่องจากกันมือไปโดนแก้วไวน์ที่ทรงค่อนข้างสูง

มื้อนี้พี่ปูสั่งชุด Oyster ขนาดสองคนทาน แล้วก้อแซลมอนอบ (ถ้าจำไม่ผิด) หลังจากพนักงานนำอาหารมาเสริฟ เชฟจะเดินตามมาอธิบายถึงที่มาของ Oyster แต่ละชนิด ที่เราก้อจำไม่ได้หรอก ด้านบนจะมีกุ้ง สลัดกุ้ง ก้ามปู และยำสาหร่ายญี่ปุ่น ส่วนด้านล่างประกอบด้วย Oyster 4 ชนิด และก้อปลาหมึก พร้อมน้ำจิ้มสามชนิดให้เลือกตามชอบ จะเป็นการรับประทานสดๆไม่ได้ผ่านความร้อนใดๆ

จากการชิม รสชาดของเนื้อ Oyster แต่ละชนิดจะออกหวานๆ อร่อยดีไม่เคยทาน… ส่วนอาหารอีกจานจะตามมา เป็นปลาแซลมอนอบ ก้ออร่อยดี แต่ไม่ค่อยชอบเนื้อปลาแห้งๆเท่าๆไร……

ก้อเป็นการตระเวนชิมอีกหนึ่งร้านที่น่าสนใจ เลยนำมาแบ่งปันเผื่อเพื่อนๆสนใจไม่ลอง….ร้านอยู่ในซอยแถวๆ ถนนนราธิวาส แต่จำตำแหน่งแน่ชัดไม่ได้ ถามพี่กูลฯเอา ร้านชื่อนี้หละ "Oyster Bar" ก้อเป็นมื้อทีค่อนข้างแพงหน่อย เอาไว้นานๆทานทีนะคะ…

Enjoy…… 

เอนทรี่ที่ ๙/๒๕๕๓ 

Posted in Uncategorized | 17 Comments

บันทึกช่วยจำของ”เหลียงจี้จาง” Very very Good!!!!

เหลียงจี้จาง"เป็นพิธีกรดังของ TVB ในฮ่องกงและเป็นนักเขียนด้วย บันทึกช่วยจำที่เขาเขียนให้ลูก ได้รับการเผยแพร่เป็นวงกว้างเมื่อไม่นานมานี้ นอกจากแสดงถึงความห่วงหาอาทรที่พ่อมีต่อลูกเฉกเช่นคุณพ่อทั่วๆไป มุมมองของเขาบางเรื่อง(แบบสังคมฮ่องกง) แม้บางคนจะเคยประสบมาบ้างเหมือนกัน อ่านแล้วก็ยังอดอึ้งไม่ได้ เลยถ่ายทอดสู่กันฟัง…

 

ลูกรัก..ที่พ่อเขียนบันทึกช่วยจำฉบับนี้ให้ลูก มีเหตุผลอยู่ 3 ประการ คือ

1. สรรพสิ่งล้วนอนิจัง จะมีชิวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใดไม่มีใครบอกได้ พ่อจึงคิดว่า บางเรื่องพ่อน่าจะสั่งเสียไว้แต่เนิ่นๆ ย่อมจะดีกว่า

2. เพราะพ่อเป็นพ่อของลูก ถ้าพ่อไม่บอกลูก ไม่มีใครหรอกที่เขาจะบอกลูกแบบที่พ่อบอก

3. สิ่งที่พ่อบันทึกไว้นี้ ล้วนเป็นประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดที่พ่อได้เรียนรู้มา มันจะทำให้ลูกไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนรู้มันอีกในชีวิตของลูก ขอให้จำสิ่งต่างๆเหล่านี้ไว้ให้ดี

 

1. คนที่ไม่ดีต่อเรา ไม่ต้องไปใส่ใจนัก ในชีวิตคนเรา ไม่มีใครมีหน้าที่ที่จะต้องมาดีต่อเรา ยกเว้นพ่อกับ แม่ของลูก สำหรับคนที่ดีกับลูก นอกจากลูกต้องหวงแหนและขอบคุณเขาแล้ว ยังต้องคอยระวังตัวไว้ด้วยเพราะคนเราทุกคน ทำอะไรย่อมมีจุดประสงค์ เขาทำดีกับลูก ใช่ว่าเขาจะทำเพราะชอบลูกเสมอไปลูกต้องตระหนักจุดนี้ให้ดี อย่าเพิ่งรับเขาเป็นเพื่อนเร็วเกินไป (น่ากลัวไหม)

2.ไม่มีคนที่ทดแทนกันไม่ได้ และไม่มีสิ่งใดที่ต้องมีให้ได้ ถ้าเข้าใจจุดนี้ หากวันใดคนข้างกายของลูกไม่ต้องการลูกอีกต่อไป หรือวันใดที่ลูกต้องเสียสิ่งที่รักที่สุดไป ลูกจะได้เข้าใจ ว่านี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรเลย

3. ชีวิตนี้แสนสั้น (จะอยู่แค่ 80 ปีเอง)หากลูกยังใช้ชีวิตอย่างไม่เห็นคุณค่า พรุ่งนี้ลูกจะพบว่าชีวิตจะหลุดลอยไปไกลยิ่งขึ้น ดังนั้น ยิ่งรู้จักถนอมชีวิตเร็วเท่าใด เวลาที่ลูกจะได้รับความสุขจากชีวิตก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น หาความสุขเสียแต่วันนี้ ดีกว่านั่งหวังให้มีอายุยืนนาน

4. ในโลกนี้ไม่มีเรื่องรักนิรันด์กาล ความรักเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ โดยความรู้สึกนี้ย่อมเปลี่ยนไปตาม กาลเวลาและอารมณ์ หากสิ่งที่ลูกรักมากที่สุดจากลูกไป ขอให้รอคอยอย่างอดทน ให้เวลาช่วยชะล้าง ให้จิตใจค่อยๆตกตะกอน แล้วความทุกข์ของลูกจะค่อยๆจางหายไป.. อย่าวาดหวังความรักให้สวยเกินไปและอย่าซ้ำเติมการอกหักให้ทุกข์เกินเหตุ

5. แม้ว่าคนหลายคนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้ไม่ได้เรียนมาสูง แต่ไม่ได้หมายความว่า หากไม่ขยัน เรียน แล้วจะได้ดี    ความรู้คืออาวุธ คนเราอาจสู้แล้วรวย แต่ไม่มีทางรวยได้ หากปราศจากอาวุธสู้.. จำไว้

6. พ่อจะไม่ขอให้ลูกเลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของพ่อ เพราะพ่อก็จะไม่เลี้ยงดูครึ่งชีวิตหลังของลูกเช่นกัน เมื่อ ลูกโตพอจนเป็นอิสระได้แล้ว พ่อก็หมดหน้าที่แล้วเช่นกัน หลังจากนั้นไป ลูกจะนั่งรถเมล์หรือจะนั่งรถเบ๊นซ์จะกินหูฉลามหรือจะกินบะหมี่ยำๆ ลูกต้องเลือกเอง

7. ต้องทำดีต่อผู้อื่น แต่อย่าหวังว่าผู้อื่นต้องทำดีต่อเรา เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร มิได้หมายความว่าผู้อื่น ก็จะปฏิบัติตอบต่อเราในแบบเดียวกัน.. ลูกต้องเข้าใจในข้อนี้ จะได้ไม่หาทุกข์ใส่ตัวโดยไม่จำเป็น

8. พ่อซื้อล๊อตเตอรี่มาตลอดชีวิต ยังยากจนเหมือนเดิม แม้แต่รางวัลเลขท้ายยังไม่เคยถูกเลย นี่เป็นบท พิสูจน์ว่า คนเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ต้องขยันขันแข็งอย่างเดียวเท่านั้น ในโลกนี้ไม่มีมื้อเที่ยงที่ไม่ต้อง เสียตังค์ (No free lunch)

9. ญาติ มิตร หรือสหาย ล้วนเป็นกันชาตินี้ชาติเดียว ฉะนั้น จงหวงแหนโอกาสที่ได้อยู่ด้วยกันค่านี้ เพราะในชาติหน้า ไม่ว่าท่านจะรักใครหรือชังใคร ท่านก็จะไม่มีโอกาสได้พบกันอีก (หมายเหตุ ถึงพบกันก็ไม่รู้จักกัน )

Posted in Uncategorized | 4 Comments

ตระเวนชิม….กินดื่ม ตอนที่ 1

หลังจากหายไปจากบล็อกเสียนาน….วันนี้ขอมาเหลาเรื่องเกี่ยวกับอาหารการกินหน่อย….ช่วงนี้เรื่องเยอะนะพี่น้อง เรื่องบางเรื่องก้อรกสมองอย่าเข้าไปใส่ใจให้รกกันหละกัน
 
กิจกรรมยอดฮิตของคู่รักคงหนีไม่พ้นการไปรับประทานอาหาร โดยเฉพาะถ้าคนข้างๆคุณชื่นชอบการหาอาหารอร่อยๆ รับประทานหละก้อ ต้องกระซิบว่า ได้เดิน เข้า – ออก ร้านอาหารมากมายจนจำกันไม่หมดทีเดียว (ตอนนี้เริ่มต้องหาคู่มือมาเป็นตัวช่วย เพราะส่วนตัวไม่ถนัดเรื่องนี้) ว่าจะทำลิสรายชื่อร้านอยู่เหมือนกัน
 
ร้านที่จะนำมาเสนอในวันนี้เป็นร้านแฟรนไซน์จากญี่ปุ่น อาหารยอดฮิตติดอันดับที่เรียกเสียงตอบรับจากคนไทยได้อย่างท่วมท้นไม่ว่าจะมาแนว ข้าวปั้น ปลาดิบ ราเมน หรือแม้แต่โดรายากิ ขนมสุดโปรดของโดเรมอน ก้อได้ใจคนไทยไปไม่น้อย
 
สำหรับร้านที่นำมาเสนอในวันนี้ หากได้เกิดจากความประทับใจไม่ แต่ต้องบอกตรงๆว่าเกิดจากความไม่ประทับใจมากกว่า เลยนำเสนอแต่ถ้าใครมีโอกาสแนะนำให้ไปลอง แต่มันรอนานมากคร้าบบบพี่น้อง ร่วมชั่วโมงครึ่ง  ฮั่นแน่ เริ่มอยากรู้ (เกริ่นยาวไปมั้ยเนี่ย)……
 
"ซาโบเต็น" ร้านทงคัทสึ ที่มาแรงในช่วงนี้ ขอบอกว่าไปทีไรคนรอเต็มหน้าร้านตลอด มันจะอร่อยเทพอะไรปานนั้น หลังจากที่ได้พลาดไปอยู่หลายครั้ง ก้อตัดสินใจร่วมกันว่า "วันนี้เป็นไงเป็นกันพี่ปู ต้นจะรอ…." (ร่วมกันตรงไหน555 ) หลังจากที่เดินวินโดช๊อปกันจนอ่อนแรง ก้อไปลงทะเบียนรอเรียก พระเจ้าเข้าไปเกือบยี่สิบคิว แต่คำไหนคำนั้น ฉันจะรอ แนะนำว่าใครอยากไปลองแบบเทพๆ (คือต้องใจเย็นเป็นเทพกันทีเดียว) กรุณาไปจองก่อนไปทำธุระอื่น เพราะมีเวลาร่วมครึ่งชั่วโมงทีเดียว ไม่รู้ว่าตอนนี้คนเลิกเห่อกันหรือยัง ตามเมนู ร้านนี้ขายแต่ ทงคัทสึ (อาหารประเภท เนื้อหมูชุบแป้ง เกล็ดขนมปัง และไข่ไก่ทอดสไตล์ญี่ปุ่น) ราคาต่อเมนูอยู่ประมาณ 280-400 บาท ราคานี้จะรวมไปถึงสลัดกระหล่ำ มิโซะซุป ชาข้าวแบบไม่อั้น และไอครีมชาเขียวตบท้ายรายการ
 
หลังจากที่ยื่น เดิน นั่ง พิง เลื้อย(ไม่ใช่หละ) ไปเกือบสองชั่วโมง พนักงานก้อใจอ่อนยอมเชิญเราสองคนเข้าร้าน ในสภาพหิวโซกันทีเดียว เมนูถูกเลือกตั้งแต่ตอนรอ หลังจากนั่ง พนักงานจะเอาชามใหญ่หนึ่งใบพร้อมตะเกียบยักษ์ และชามใส่งาคั่วพร้อมไม้มา แล้วก้อจะมีคนเดินเอากระหล่ำมาใส่ให้แบบนี้

จากแหล่งข่าว งานี้เค้าว่านำเข้าจากญี่ปุ่น (งาเมืองไทยเยอะแยะทำไมไม่อุดหนุนกันบ้างก้อจะดีมาก หรือต้องแบบออริจินอลก้อไม่รู้) วิธีทำที่ถูกต้องคือ เอาไม้วนสัก 5-6 รอบพอให้งาแตก (แต่เท่าที่เห็นและทำเอง พวกเล่นตำยังกะน้ำพริก โป๊กๆๆๆๆกันทั้งร้านสนุกพี่ไทบไป) จากนั้นเอาน้ำซอสทงคัทซีที่อยู่ในโถบนโต๊ะใส่ใส่ประมาณ 3-4 ช้อน ไว้จิ้ม ดูภาพปลากรอบ (แซม…ยืมมุขหน่อย)

ส่วนกระหล่ำ แหล่งข่าวเดิม กล่าวว่า ค้ดเฉพาะกระหล่ำปลีสดปลอดสารพิษ ขนาดมาตราฐานหัวขนาดพอเหมาะในแบบฉบับซาโบเตนแล้วเก็บไว้ที่อุณหภูมิ 8 องศาเซลเซียส ก่อนเสิร์ฟก็นำออกมาเข้าเครื่องสไลซ์ ซึ่งทำให้ได้กะหล่ำปลีฝอยที่คงความสดและกรอบ (อันนี้อนุมานว่าคงอุดหนุนคนไทยบ้าง มิได้นำเข้า) ว่ากันว่าถูกใจพี่ไทยจนต้องสั่งวันหละเป็นสิบๆกิโล (แต่โดนส่วนตัว ก้อแอบกลัวว่ากระหล่ำไม่สะอาดเล็กน้อย ก้อเลยกินพอรู้รส หมดไปสองชาม 555) วิธีทาน บนโต๊ะจะมีซอสนำเข้าจากญี่ปุ่นวางไว้อีก 2 ชนิดให้เลือกคลุกเคล้ากับผักกะหล่ำ ขวดแรกเป็น น้ำสลัดงา ใสๆ กลิ่นหอมของงา อีกขวดเป็นน้ำสลัด เรียกว่า น้ำสลัดส้มยูสุ เป็นน้ำสลัดปราศจากน้ำมัน รสชาติออกเปรี้ยวนิดๆ มีรสของผลส้มยูสุ ให้ความรู้สึกสดชื่น แหล่งข่าวแนะนำว่า ควรใส่น้ำสลัดคลุกเคล้าแต่พอเหมาะ ไม่มากเกินไป (ไม่ต้องกะคุ้มกันบางก้อได้) จะได้ไม่ตัดความกรอบและรสชาติหวานตามธรรมชาติของกะหล่ำปลีสด ดูภาพพรีเซ็นเตอร์ปลากรอบอีกครั้ง

แล้วอาหารหลักก้อเริ่มมา และตบท้ายด้วยไอครีมชาเขียว ไม่ต้องบอกวิธีขั้นตอนนี้โซ้ยตามอัธยาศัย เนื่องด้วยไม่ถนัดอาหารทอดจึงไม่สามารถเชิญอาหารเข้าไปในกระเพาะได้มากนัก ในที่นี้คือไม่สามารถแบ่งกันทานคนละครึ่งได้จนถึงชิ้นสุดท้ายก้อต้องยอมแพ้ ให้พี่ปูรับผิดชอบไปตามระเบียบ

และแล้ว….ดิฉันก้อเผชิญกะอาการอาหารไม่ย่อยไปหลายวัน เนื่องจากไม่ได้ทานอาหารทอดแบบหนักๆอย่างนี้มานาน ก้อเลยขยาดกันเลยทีเดียว  

ก้อเอามาเขียนเล่นๆ ให้อ่านกันนะพี่น้อง ใครสนใจไปทานก้อหาร้านเองหละกัน ไม่ยากลอง ถามพี่กูลเกิ้ลดู……

 เอนทรี่ที่ ๗/๒๕๕๓

Posted in Uncategorized | 16 Comments

โปรดฟังอีกครั้ง….

ผมเคยดีใจและชื่นชมพร้อมกับคนไทยทั้งประเทศเมื่อได้ดูการเสด็จของสมเด็จพระเทพถ่ายทอดสดทางทีวี ที่พระองค์ เดินทางไปร่วมในพิธียิงจรวดปล่อยดาวเทียม นามพระราชทาน ที่มีชื่อว่าไทยคม ที่มีบริษัท ชินแซทเทริน์ไลท์ ของทักษิณและครอบครัวที่ได้ขอสัมปทาน และได้รับอนุญาติ จากรัฐบาลของ ประเทศไทยให้มีสิทธ์ในการทำธุรกิจ สร้างและปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรเหนือประเทศไทยเพื่อ ให้ประเทศต่างๆเช่าคลื่นความถี่ใช้ในการสื่อสาร ณ. ประเทศเฟร้น กิอาน่า อดีตอานานีคมของฝรั่งเศส ที่ฝรั่งเศสใช้เป็นฐานยิงจรวดปล่อยดาวเทียมขึ้นสู่อาวกาศอยู่เป็นประจำ มาในครั้งนี้ ก็ได้รับการว่าจ้างจากบริษัทชินแซทเทริน์ไลท์ของทักษิณ ให้ยิงจรวดปล่อยดาวเทียมไทยคมขึ้นสู่อาวกาศ ในวันนั้นพอยิงขึ้นสู่เอาวกาศเสร็จ ทักษิณก็ลุกขึ้นถือไมค์โครโฟนพูดกับคนไทยทั้งประเทศ ว่าดาวเทียมดวงนี้เป็นของคนไทยทั้งประเทศ ขอให้ทุกคนจงภูมิใจ ทุกคนที่ได้ชมการถ่ายทอดสดในวันนั้นรวมทั้งผมด้วย ก็หลงดีใจว่าต่อไปนี้ประเทศเราไม่น้อยหน้าชาติอื่นแล้วเพราะเรามีดาวเทียมของเราเองแล้วไม่ต้องไปขอเช่าประเทศอื่นเขา แต่ต่อมาอีกหลายปีสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศแทบช็อคก็เกิดขึ้น ช่วงก่อนปีใหม่ก็มีข่าวแพร่ออกมาทางสื่อสารมวลชนในประเทศไทยว่าบริษัท ชินแซทเทรินไลท์ของทักษิณกำลังจะเสนอขายสัมปทานดาวเทียมพร้อม คลื่นโทรศัพท์มือถือที่ได้รับอนุญาติจากรัฐบาลของประเทศไทยให้กับบริษัทเทมาเสกของสิงค์โปร ในราคา76000ล้านบาท แต่ติดข้อกฎหมายว่าให้ต่างชาติถือหุ้นในส้มปทานได้ไม่เกิน25% เทมาเสกจึงไม่ตกลงที่จะซื้อเพราะว่าบริษัทเทมาเสกต้องการถือหุ้นใหญ่เกิน 50% ในบริษัทชินแซทเทรินไลท์ จึงจะยอมตกลงซื้อ ทักษิณซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในขณะนั้ัน จึงได้วางแผนใช้อำนาจนายกรัฐมนตรี แก้ ออก กฎหมายใหม่ให้ต่างมี ถือหุ้นในสัมปทานดาวเทียมสื่อสารในประเทศไทยได้49% และเพื่อเลีย่งกฏหมายที่ไม่ให้ต่างชาติถือหุ้น100%จึงไปตั้งบริษัทกุหลาบแก้วโดยมีคนไทยเป็นนอมินีให้เทมาเสก ถือหุ้นอีก51% ออกกฏหมายเสร็จเทมาเสกตกลงซื้อก็แอบนัดเซ็นสัญาขายกันในวันขึ้นปีใหม่ ทักษิณพร้อมลูกเมียก็เดินทางไปสิงค์โปรโดยตอบนักข่าวว่าจะไปเที่ยวที่ประเทศสิงค์โปร ไม่ได้ไปเซ็นสัญญาขายดาวเทียมไทยคม แต่พอทักษิณไปอยู่ที่ประเทศสิงค์โปร ก็มีสื่อต่างประเทศลงข่าวว่าทักษืณได้ตกลงเซ็นสัญญาขายสัมปทานคลื่นโทรศัพท์มือถือ และดาวเทียมไทยคมโดยในสัญญาซื้อขายยังรวมเอาวงโคจรดาวเทียมไทยคม ที่เป็นสมบัติของชาติไทยยกให้เป็นกรรมสิทธ์ของบริษัทเทมาเสกของประเทศสิงค์โปรแต่ผู้เดียว จึงทำให้ทุกวันนี้ประเทศไทยไม่มีสิทธ์ที่จะอนุญาติให้ใครเช่าใช้ หรือยิงจรวดส่งดาวเทียมขึ้นสู่ท้องฟ้าเหนือประเทศตัวเองทุกกรณีตลอดไปต้องขออนุญาติเช่าจากประเทศสิงค์โปรเท่านั้นเพราะว่าทักษิณได้ขายให้เขาไปแล้ว มันช่างน่าอับอายประเทศอื่นเขาไปทั้งโลก ที่ที่รัฐบาลไทยโดยนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยที่เป็นคนไทยมาขายวงโคจรดาวเทียมที่เป็นสมบัติของชาติไทยให้ต่างชาติ มันไม่มีประเทศไหนในโลกนี้เขาทำกัน ประเทศก้มพูชา ลาว พม่า เขายังมีวงโคจรดาวเทียมไว้ปกป้องประเทศเขายามเกิดสงคราม แต่ประเทศไทยไม่มี วงโคจรดาวเทียมที่จะยิงจรวดส่งดาวเทียมเพื่อใช้เทคโนโลยี่ที่ทันสมัยเหมือนที่ประเทศอเมริกามีใช้ เพื่อใช้ทำสงครามปกป้องประเทศไทย ให้พ้นภัยเมื่อถูกรุกรานจากประเทศอื่น ทุกวันนี้เวลากลางคืนผมมองท้องฟ้าทีไรน้ำตามันจะไหล เมื่อนึกถึงดาวเทียมทีมีชื่อจากการได้รับพระราชทาน ชื่อไทยคม
 
ที่มา….นสพ.สักฉบับ
Posted in Uncategorized | 8 Comments

จินตนาการยังคงอยู่

ย่างเข้าเดือนสอง จะพ้นออกสู่เดือนสามแล้ว ฉันทำยอดได้แย่มาก เพิ่งเขียนบล็อกไปได้แค่ สี่เรื่องเท่านั้นสำหรับปีนี้
 
ฉันมานั่งนึกย้อนดูทำไมในช่วงขวบปีแรก ฉันถึงมีเรื่องสรรหามาเล่าได้มากมาย จะว่าเพื่อนเยอะจึงอยากเขียนให้เพื่อนอ่าน
ก้อไม่น่าใช่ เพราะตอนที่เริ่มใช้สเปชใหม่ๆนั้น เพื่อนคนแรก และคนเดียวของฉันก้อคือ "ต้นตอก่อเรื่อง" ผู้เป็นทั้งเพื่อน
(ที่เพิ่งรู้จัก) และผู้แนะนำเข้าสู่วงการ ส่วนเพื่อนคนอื่นๆหรือ ชวนเท่าไรก้อไม่เล่น และด้วยการที่ได้ทำงานอยู่หน้าคอมฯทั้งวัน
มันจึงเหมือนเอื้ออำนวยให้การเขียนเรื่องราวผ่านสเปชเป็นไปอย่างมีความสุข ตื่นเช้าเดินทางมาทำงาน เจอหมาหัวเราะก้อเอามาเขียนเป็นเรื่อง เจอกระเป๋ารถเมล์เฮี้ยนก้อเขียนเป็นเรื่อง เจอรถปอเต็กตึ้งก้อเขียนเป็นเรื่อง เจอหัวหน้าบ่นก้อเป็นเรื่องได้ ได้โปรเจ็คใหม่ๆ
ยิ่งเป็นเรื่องยาว เรื่องในอดีตก้อย้อนเอามาปั้นจนเป็นเรื่องขึ้นมา เหมือนเห็นอะไรก้อนึกต่อได้เป็นเรื่องเป็นราว จินตนาการเปิดกว้าง
 
ย่างขึ้นปีที่สอง ฉันเริ่มมีเพื่อนเยอะขึ้น เครือข่ายเริ่มขยาย เริ่มมีผู้คนแวะเวียนมาทักทาย อ่านเรื่องราวของฉัน การเขียนจึงเริ่มแปลไป
สู่การแวะเวียนไปทักทายบ้านนู้น บ้านนี้ ปีนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในชีวิตค่อนข้างมาก เปลี่ยนงาน ย้ายที่อยู่ ชีวิตช่วงนี้เหมือนตกหลุดอากาศหน่อยๆ ชีวิตเริ่มเปลี่ยนไป งานเริ่มไม่ใช่การนั่งอยู่บ้านจอ แต่ยังคงมีเรื่องราวมาแบ่งปัน
 
จวบจนปีนี้ ที่เริ่มรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะเขียนในเบื้องต้น แต่แท้จริงแล้วมันอาจจะไม่ใช่ เหมือนโลกของฉันเริ่มขาดจินตนาการ
ฉันยังคงเดินดิน กินข้าวแกง เจอผู้คน เห็นหมาหัวเราะ ขึ้นรถเมล์เฮี้ยนๆ มีรถหวอวิ่งผ่านหน้าบ้าน แต่สมองเหมือนแค่นึกคิดแต่ไม่ติดตาม มีคนบางคนแค่บอกฉันว่า คนเราจากวัยเด็กที่อยู่ในโลกจินตนาการ พอโตขึ้นคนเราก้อจะเริ่มเดินออกมาสู่โลกแห่งความจริง
ฉันก้อดีใจได้ว่า ความคิดฉันได้พัฒนาขึ้นมาอีกระดับ แต่ในอีกแง่หนึ่ง ไอน์สไตล์ก้อได้บอกไว้ว่า "จินตนาการสำคัญกว่าความรู้"
ฉันก้อรู้สึกเสียดายถ้าหากว่าชีวิตฉันจะขาดซึ่งจินตนาการ แต่ที่จริงแล้ว ฉันพบว่า ฉันยังคงไว้ซึ่งจินตนาการอย่างเต็มเปี่ยม
แต่ความอยากถ่ายทอดตั้งหากที่ถดถอย….มันช่างเป็นเรื่องชวนเศร้าจริงๆ…..
 
 
เอนทรี่ที่ ๕/๒๕๕๓
Posted in Uncategorized | 12 Comments